8 ก.ย. 2554

จะ "เกศทะลุซุ้ม" ไปทำไม

เคยสงสัยกันบ้างหรือเปล่าครับว่า...ทำไม “พระสมเด็จ” ถึงต้องมีแม่พิมพ์เป็นแบบ  “เกศทะลุซุ้ม”  คงพอนึกภาพกันออกนะครับ  ใช่แล้วครับผมหมายถึงพิมพ์ที่ “เศียร” หรือ “เกศ” ของพระเป็นยอดแหลมพุ่งทะลุเส้นซุ้มที่ครอบองค์พระไปจรดขอบสี่เหลี่ยมด้านบนของพิมพ์พระนั่นแหละครับ   ถ้ายังนึกไม่ออก เก๋าสยาม มีภาพประกอบให้ดูกันครับ  แบบนี้เลยครับ


ผมเองก็สงสัยเหมือนกันครับว่าทำไมถึงทำพิมพ์แบบนี้ขึ้นมา  เพราะอะไร  ช่างหลวงนี่ก็กระไรอยู่  จะทำให้เกศพระให้พอดีกับเส้นซุ้มไม่ได้เชียวหรือ   ลองสืบถามเท้าความกับหลายท่าน  แม้กระทั้งหาข้อมูลจากตำราที่ผู้รู้ ผู้ทรงภูมิเรื่อง “พระสมเด็จ” หรือ “อัตตชีวประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังษี” ได้รจนาแต่งไว้ ก็ได้มาหลากหลายความเห็นครับ

บ้างก็ว่า “สมเด็จโต ท่านเคยขึ้นมากราบนมัสการ พระพุทธชินราช ที่เมือง พิษณุโลก  ท่านคงจะเอาอย่าง ซุ้มเรือนแก้วของ พระพุทธชินราช มาทำพิมพ์พระกระมัง”  ผมฟังๆ ดูเผินๆ แล้วก็เข้าที แต่พิจารณาอีกทีเห็นว่าไม่น่าใช่ เพราะพระพุทธชินราชนั้น องค์พระเป็นปางมารวิชัย แล้ว “พระเศียร” หรือ “พระเกศ” ขององค์พระก็มิได้แหลมชะลูดจนทะลุซุ้มเรือนแก้วสักหน่อย  เป็นอันว่าตกไปครับความเห็นนี้

บางท่านว่ากันถึงขนาด “ มีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่ง อยู่ในวัดพระแก้วนี่แหละ เกศยาวแบบนี้เลย จนต้องเจาะรูให้ทะลุครอบแก้วที่ช่างหลวงเขาทำไว้”  ว่าไปนั่น!

สำหรับความเห็นนี้ผมว่าไปกันใหญ่  ช่างที่ไหนจะมาทำครอบแก้วองค์พระพุทธรูปโดยมิได้วัดความกว้าง ความยาว ความสูง ก่อน  และเท่าที่ เก๋าสยาม ไปสืบค้นดูก็ยังไม่เจอพระพุทธรูปที่ว่านั่นในวัดพระแก้วเลยเห็นจะต้องตัดทิ้งเหมือนกันครับ


          เดินสงสัยอยู่หลายวัน เหลือบไปเห็นรูปสมเด็จ “โต” นั่งอยู่ในท่ายอดฮิตคือ นั่งขัดสมาธิแล้วกำมือทั้งสองข้างอยู่กลางลำตัวในลักษณะซ้อนกัน  แบบที่เราๆ คุ้นตากันนั่นแหละครับ นึกในใจเหมือนกันว่า  “สมเด็จโตครับทำไมพระพิมพ์ของท่านต้องเกศทะลุซุ้ม” ( เก๋าสยามสงสัยใกล้จะเพี๊ยนล่ะครับ)   ท่านก็ไม่ได้ว่ากระไร แต่มีข้อความท้ายรูปที่เห็นว่า ท่านกำมือเป็นปริศนาธรรม “กำ” หมายถึง “กรรม” มือที่กำอยู่ข้างบนเป็น “กุศลกรรม” กรรมฝ่ายดี ส่วนมือที่กำอยู่ข้างล่างเปรียบกับ “อกุศลกรรม” หรือกรรมชั่ว นั่นเอง





  

          จึงนึกขึ้นมาได้ว่าตามพระราชประวัติของท่าน  ท่านชอบพูด หรือ กระทำอะไรเป็นปริศนาธรรม ดูอย่างคราวที่ท่านจุดใต้ตอนกลางวันเข้าไปในพระบรมมหาราชวังเมื่อคราวสิ้นแผ่นดินรัชกาลที่ ๔ เพื่อไปถามความกับ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุญนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในขณะนั้นว่าแผ่นดินมืดมัว จะคิดอ่านกันอย่างไร จนได้รับคำมั่นว่าจะร่วมปกป้องเศวตฉัตรมิได้คิดก่อการใหญ่เป็นขบถต่อแผ่นดินแลราชวงศ์จักรี    ท่านจึงได้ดับ “ใต้” แล้วเดินทางกลับ  และมีอีกมากมายหลายเหตุการณ์ที่ท่าน “ทำ” หรือ “แสดง” ให้เราๆ ได้คิด  ผมว่า “พระสมเด็จ” ก็ดุจเดียวกัน 





ความเห็นที่ดูจะเข้าท่าเข้าทางที่สุด เห็นว่า รูปทรงองค์พิมพ์ของพระสมเด็จนั้นแฝงไปด้วยปริศนาธรรม กรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือ นักเลงพระเรียก “เส้นบังคับพิมพ์นั้น” โบราณจารย์ท่านเปรียบไว้กับ “อริยสัจสี่” อันเป็นสัจจะความจริงสูงสุดสี่ประการที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และเป็นข้อธรรมหลักในพระพุทธศาสนา ทีนี้ฐานทั้งสามนั้นท่านว่าเปรียบได้กับ “ศีล สมาธิ ปัญญา” เป็นหลักปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความเป็น “พุทธะ” องค์พระพุทธที่อยู่กลางพิมพ์พระเป็น “ปางสมาธิ” อันเป็นแนวทางปฏิบัติวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงสอนสั่ง    ส่วนเส้นซุ้มครอบองค์พระนั้นเปรียบไว้กับ “อวิชชา” กิเลส ตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ ความยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวกู ของกู “พระอยู่กับกูแท้...พระของมึงเก๊” (อันนี้นอกเรื่องครับ)  ที่ครอบงำอยู่  


ที่นี้มาถึง “เกศทะลุซุ้ม”  เก๋าสยาม จึงขอต่อยอดความเห็นไปว่า ยอดเกศปลายแหลมที่แทงทะลุเส้นซุ้มที่ครอบองค์พระนั้น หมายถึง ปัญญาสูงสุดในทางพุทธศาสนา เปรียบได้กับเข็มปลายแหลมคมที่แทงทะลุ “อวิชชา” ให้เข้าถึง และ รู้เห็นตามความเป็นจริงคือ  “ อริยสัจสี่”   นั่นเอง


ยิ่งคิด ยิ่งพิจารณา  ก็ยิ่งเกิดศรัทธา รู้อย่างนี้แล้วผมว่า “พระสมเด็จ”  มีอะไรมากกว่าจะมานั่งส่องกล้องมองพระกัน  ผมว่าลองวางกล้องแล้วมองด้วยดวงตาแห่งศรัทธา โดยมีปัญญาควบคู่กันไปด้วย  การศึกษาเรื่อง “พระสมเด็จ” ได้อะไรมากกว่าที่คิดไว้เยอะเลยครับ 



เชิญแวะชม "ร้านเก๋าสยามพาณิชย์" ตาม Link นี้ด้านล่างเลยนะครับ  


สวัสดีครับ

4 ก.ย. 2554

รวมภาพ พระสมเด็จพิมพ์ใหญ่ แม่พิมพ์หลวงสิทธิ์ฯ

        
          วันนี้ วันหยุดสุดสัปดาห์ มาพักสายตาแบบสบายๆ ไสต์ "เก๋าสยาม" ด้วยภาพพระสมเด็จ แม่พิมพ์หลวงสิทธิ์ฯ กันดีกว่าครับ


















































เชิญแวะชม "ร้านเก๋าสยามพาณิชย์" ตาม Link นี้ด้านล่างเลยนะครับ  





3 ก.ย. 2554

มองจากปลายไปหาต้น กับ พระสมเด็จกรุวัดพระแก้ว

พระเนื้อผงรูปทรงสี่เหลี่ยมที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในหมู่ผู้นิยมสะสมพระเครื่องกันอย่างขยายวงกว้างในปัจจุบันคงไม่พ้น “ พระสมเด็จพรุวัดพระแก้ว” บ้างก็เรียก “พระกรุวังหน้า”  หรือ ตามแต่จะเรียกกันไปนะครับ  ความชัดเจนในเรื่องประวัติศาสตร์ การสร้าง  บันทึก  จารึก  พงศาวดาร  หรือหลักฐานอะไรก็ตามแต่ ที่จะยืนยันแน่แท้ของพระกรุนี้ เท่าที่ เก๋าสยาม ลองสืบค้นข้อมูลดู ก็ยังไม่เจอแบบ โดนๆ ซักทีครับ 

แต่... พระพิมพ์เหล่านี้มีให้เราพบเห็นจริง ๆ เอาเป็นว่าตอนนี้ขอพักรบเรื่อง พระแท้ พระเก๊ กันก่อน  แนวทางการสืบสวนเรื่องนี้ถ้าเราหาจากต้นเหตุยังไม่เจอ เราลองมองจากปลายเหตุย้อนไปหาต้นเหตุกันดูมั๊ยครับ..ลองดูครับ 
พระพิมพ์ในสกุล “กรุวัดพระแก้ว” นี้  มีหลากหลายพิมพ์  พิมพ์หนึ่งที่ดูน่าสนใจไม่น้อยเลยคือ พิมพ์พระสมเด็จทรงหลังช้างข้างฉัตร ( ชื่อพิมพ์ เก๋าสยาม ตั้งเองนะครับอย่าถือเป็นมาตรฐาน)  ตามรูปนี้เลยครับ















































ตามข้อมูลของกลุ่มผู้นิยมสะสมพระเครื่องกรุนี้เชื่อกันว่า สร้างในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของในหลวงรัชกาลที่ ๕ หลังจากสร้างเสร็จแล้วมีการแจกจ่ายให้ข้าราชบริพาร ขุนน้ำ ขุนนางทั้งหลาย ก่อนนำบรรจุกรุในวัดพระแก้ว ความพิเศษของพระพิมพ์ในรูปนี้เท่าที่สังเกตเห็น  การแกะพิมพ์พระทำอย่างประณีตบรรจง  มีมิติ เหลื่อมล้ำ ต่ำ สูง มีการแสดงฝีมือในเชิงช่าง ไม่ว่าจะเป็นงานแกะ งานลงรัก ปิดทอง ล่องชาด  มวลสารนอกจากเป็นผงที่เห็นแล้วยังมีส่วนผสมของผงตะไบทองคำรวมอยู่ด้วยเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
























เรื่องราวในองค์พระยิ่งน่าสนใจใหญ่ รูปช้างยืนเด่นเป็นสง่า องค์พระประทับนั่งบนอาสนะบัลลังก์  เคียงข้างด้วยพระมหาเศวตฉัตร (ฉัตร 9 ชั้น ) ทั้งสองฝั่ง สัญลักษณ์เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระเจ้าแผ่นดินทั้งสิ้น  แนวคิด หรือ คตินิยม แบบพุทธราชา และ เทวราชา มีมาตั้งแต่สมัยขอม ดูอย่างพระเจ้าชัยวรมันนั่นเทียว พระองค์ทรงสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรกที่มีลักษณะงดงามส่งแจกจ่ายไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ ที่เรารู้จักกันในนามศิลปะแบบบายน   และที่สำคัญ พระพุทธรูปเหล่านี้ทรงให้ช่างหล่อพระเศียรให้มีใบหน้าละม้ายคล้ายพระองค์มากที่สุด เป็นการใช้ศาสนานำการเมืองอย่างน่าทึ่ง คือ เจ้าเมืองไหน หรือ ชาวเมืองใด เข้าไปกราบไหว้พระพุทธรูปเหล่านี้ก็ต้องพบเจอ “ใบหน้า” ของพระองค์อยู่ร่ำไป  หรือ อีกนัยหนึ่งเป็นการแสดงความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างสูงสุดประดุจ “พระราชา” เฉกเช่นเดียวกับ องค์พระพุทธรูปที่ประทับนั่งบนอาสนะบัลลังก์ในพระพิมพ์นี้





ส่วนรูปช้างนั่นเล่า ดูราวกับเป็น พญาช้างเผือก ที่มีปรากฏอยู่ในธงช้างบนพื้นแดง อันสยามประเทศ ใช้เป็นธงชาติมาแต่สมัยรัชกาลที่  เป็นสัญลักษณ์แทน ชาติ หรือ พระราชอาณาจักรสยาม  พระมหาเศวตฉัตรทั้งสองก็เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระมหากษัตริย์ผู้ผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี   

พระพิมพ์นี้ ผู้สร้างเป็นผู้ใดกันหนอ

ใคร่กันเล่า,,จักกล้าหาญชาญชัยทำพิมพ์พระที่มีเครื่องสูงของพระเจ้าแผ่นดิน และ พระราชอาณาจักรสยาม เป็นสัญลักษณ์

ใครกัน..ที่มีช่างฝีมือดี ทั้งช่างแกะสลัก  ช่างลงรัก ปิดทอง ล่องชาด  ช่างปูนปั้น ฯลฯ

แล้วใครกัน..ที่จะนำทองคำแท้ๆ...มาตะไบจนเป็นผงแล้วผสมลงในองค์พระได้มากมายอย่างนี้ 

แล้วคุณหล่ะ คิดว่า พระพิมพ์ “กรุวัดพระแก้ว” ผู้สร้างเป็นใครกัน ?

สวัสดีครับ

มุมนักสะสมพระเครื่อง เชิญแวะชมใน 
"พระสวยสะดุดตา ราคาสะดุดใจ" ตาม Link นี้เลยครับ